วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ

เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ
วัฒนาพร ระงับทุกข์  (2545 : 177 – 195)  อ้างใน  อาภรณ์  ใจเที่ยง (2550 : 123
125)  กล่าวถึง เทคนิคการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไว้ว่า เทคนิคที่นำมาใช้ในการเรียนรู้แบบร่วมมือ  มีหลายวิธี  ได้แนะนำไว้ดังนี้
1.  ปริศนาความคิด  (Jigsaw)
ปริศนาความคิด  เป็นเทคนิคที่สมาชิกในกลุ่มแยกย้ายกันไปศึกษาหาความรู้  ในหัวข้อเนื้อหาที่แตกต่างกัน  แล้วกลับเข้ากลุ่มมาถ่ายทอดความรู้ที่ได้มาให้สมาชิกกลุ่มฟัง  วิธีนี้คล้ายกับการต่อภาพจิกซอร์  จึงเรียกวิธีนี้ว่า  Jigsaw หรือปริศนาการคิด
ลักษณะการจัดกิจกรรม
ผู้เรียนที่มีความสามารถต่างกันเข้ากลุ่มร่วมกันเรียกว่า  กลุ่มบ้าน  (Home  Group)  สมาชิกในกลุ่มบ้านจะรับผิดชอบศึกษาหัวข้อที่แตกต่างกัน  แล้วแยกย้ายไปเข้ากลุ่มใหม่ในหัวข้อเดียวกัน  กลุ่มใหม่นี้เรียกว่า  กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ  (Expert  Group)  เมื่อกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทำงานร่วมกันเสร็จ  ก็จะย้ายกลับไปกลุ่มเดิมคือ  กลุ่มบ้านของตน  นำความรู้ที่ได้จากการอภิปรายจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญมาสรุปให้กลุ่มบ้านฟัง  ผู้สอนทดสอบและให้คะแนน
2.  กลุ่มร่วมมือแข่งขัน  (Teams – Games – Toumaments : TGT)
เทคนิคกลุ่มร่วมมือแข่งขัน  เป็นกิจกรรมที่สมาชิกในกลุ่มเรียนรู้เนื้อหาสาระจากผู้สอนด้วยกัน  แล้วแต่ละคนแยกย้ายไปแข่งขันทดสอบความรู้  คะแนนที่ได้ของแต่ละคนจะนำมารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม  กลุ่มที่ได้คะแนนรวมสูงสุดได้รับรางวัล
ลักษณะการจัดกิจกรรม
สมาชิกกลุ่มจะช่วยกันเตรียมตัวเข้าแข่งขัน  โดยผลัดกันถามตอบให้เกิดความแม่นยำในความรู้ที่ผู้สอนจะทดสอบ  เมื่อได้เวลาแข่งขัน  แต่ละทีมจะเข้าประจำโต๊ะแข่งขัน  แล้วเริ่มเล่นเกมพร้อมกันด้วยชุดคำถามที่เหมือนกัน  เมื่อการแข่งขันจบลง  ผู้เข้าร่วมแข่งขันจะกลับไปเข้าทีมเดิมของตนพร้อมคะแนนที่ได้รับ  ทีมที่ได้คะแนนรวมสูงสุดถือว่าเป็นทีมชนะเลิศ
3.  กลุ่มร่วมมือช่วยเหลือ  (Team  Assisted  Individualization : TAT)
เทคนิคการเรียนรู้วิธีนี้  เป็นการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้สมาชิกแต่ละคนได้แสดงความสามารถเฉพาะตนก่อน  แล้วจึงจับคู่ตรวจสอบกันและกัน  ช่วยเหลือกันทำใบงานจนสามารถผ่านได้  ต่อจากนั้นจึงนำคะแนนของแต่ละคนมารวมเป็นคะแนนของกลุ่ม  กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดจะเป็นฝ่ายได้รับรางวัล
ลักษณะการจัดกิจกรรม
กลุ่มจะมีสมาชิก 2 – 4 คน จับคู่กันทำงานตามใบงานที่ได้รับมอบหมาย แล้วแลกเปลี่ยนกันตรวจผลงาน ถ้าผลงานยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ ต้องแก้ไขจนกว่าจะผ่าน ต่อจากนั้นทุกคนจะทำข้อทดสอบ คะแนนของทุกคนจะมารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับรางวัล
4.  กลุ่มสืบค้น  (Group  Investigation : GI)
กลุ่มสืบค้น  เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการศึกษาค้นคว้าแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง  ผู้เรียนแต่ละกลุ่มได้รับมอบหมายให้ค้นคว้าหาความรู้มานำเสนอ  ประกอบเนื้อหาที่เรียน  อาจเป็นการทำงานตามใบงานที่กำหนด  โดยที่ทุกคนในกลุ่มรับรู้และช่วยกันทำงาน
ลักษณะการจัดกิจกรรม
สมาชิกกลุ่มจะช่วยกันศึกษาค้นคว้าหาคำตอบ  หรือความรู้มานำเสนอต่อชั้นเรียน  โดยผู้สอนแบ่งเนื้อหาเป็นหัวข้อย่อย  แต่ละกลุ่มศึกษากลุ่มละ 1 หัวข้อ  เมื่อพร้อม  ผู้เรียนจะนำเสนอ
ผลงานทีละกลุ่ม  แล้วร่วมกันประเมินผลงาน
5.  กลุ่มเรียนรู้ร่วมกัน  (Learning  Together : LT)
กลุ่มเรียนรู้ร่วมกัน  เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมที่ให้สมาชิกในกลุ่มได้รับผิดชอบ  มีบทบาทหน้าที่ทุกคน  เช่น  เป็นผู้อ่าน  เป็นผู้จดบันทึก  เป็นผู้รายงานนำเสนอ  เป็นต้น  ทุกคนช่วยกันทำงาน  จนได้ผลงานสำเร็จ  ส่งและนำเสนอผู้สอน
ลักษณะการจัดกิจกรรม
กลุ่มผู้เรียนจะแบ่งหน้าที่กันทำงาน  เช่น  เป็นผู้อ่านคำสั่งใบงาน  เป็นผู้จดบันทึกงาน  เป็นผู้หาคำตอบ  เป็นผู้ตรวจคำตอบ  เป็นต้น  กลุ่มจะได้ผลงานที่เกิดจากการทำงานของทุกคน
6.  กลุ่มร่วมกันคิด  (Numbered  Heads  Together : NHT)
กิจกรรมนี้เหมาะสำหรับการทบทวนหรือตรวจสอบความเข้าใจ  สมาชิกกลุ่มจะประกอบด้วยผู้เรียนที่มีความสามารถเก่ง  ปานกลาง  และอ่อนคละกัน  จะช่วยกันค้นคว้าเตรียมตัวตอบคำถามที่ผู้สอนจะทดสอบ  ผู้สอนจะเรียกถามทีละคน  กลุ่มที่สมาชิกสามารถตอบคำถามได้มากแสดงว่าได้ช่วยเหลือกันดี
ลักษณะการจัดกิจกรรม
สมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกัน  จะร่วมกันอภิปรายปัญหาที่ได้รับเพื่อให้เกิดความพร้อมและความมั่นใจที่จะตอบคำถามผู้สอน  ผู้สอนจะเรียกสมาชิกกลุ่มให้ตอบทีละคน  แล้วนำคะแนนของแต่ละคนมารวมเป็นคะแนนของกลุ่ม

7.  กลุ่มร่วมมือ  (Co – op  Co - op)
กลุ่มร่วมมือเป็นเทคนิคการทำงานกลุ่มวิธีหนึ่ง  โดยสมาชิกในกลุ่มที่มีความสามารถและความถนัดแตกต่างกันได้  แสดงบทบาทตามหน้าที่ที่ตนถนัดอย่างเต็มที่  ทำให้งานประสบผลสำเร็จ  วิธีนี้ทำให้ผู้เรียนได้ฝึกความรับผิดชอบการทำงานกลุ่มร่วมกัน  และสนองต่อหลักการของการเรียนรู้  และร่วมมือที่ว่า  ความสำเร็จแต่ละคน คือ ความสำเร็จของกลุ่ม ความสำเร็จของกลุ่ม คือ ความสำเร็จของทุกคน
ลักษณะการจัดกิจกรรม
สมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันจะแบ่งหน้าที่รับผิดชอบไปศึกษาหัวข้อย่อยทีได้รับมอบหมาย  แล้วนำงานจากการศึกษาค้นคว้ามารวมกันเป็นงานกลุ่มปรับปรุงให้ต่อเนื่องเชื่อมโยง  มีความสละสลวย  เสร็จแล้วจึงนำเสนอต่อชั้นเรียน  ทุกกลุ่มจะช่วยกันประเมินผลงาน
จากที่กล่าวมาทั้งหมดสรุปได้ว่า  การเรียนรู้แบบร่วมมือ  เป็นวิธีการที่ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นอย่างแท้จริง  ได้ฝึกความรับผิดชอบ  ฝึกเป็นผู้นำ  ผู้ตามกลุ่มฝึกการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ  และฝึกทักษะทางสังคม  ผู้สอนควรเลือกใช้เทคนิควิธีต่าง ๆ  ดังกล่ามาให้เหมาะสมกับเนื้อหาสาระ  และจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้

วิธีการเรียนแบบร่วมมือ
  วันเพ็ญ จันทร์เจริญ (2542  : 119-128) กล่าวถึง วิธีการเรียนแบบร่วมมือที่นิยมใช้กันมีเทคนิคสำคัญ  แบบ  คือ  แบบเป็นทางการ  (Formal  cooperative  learning)  และแบบไม่เป็นทางการ  (Informal  cooperative  learning)
1.  การเรียนแบบร่วมมืออย่างเป็นทางการ มีดังนี้
1.1    เทคนิคการแข่งขันระหว่างกลุ่มด้วยเกม (Team – Games – Tournament 
หรือ  TGT)  คือ  การจัดกลุ่มนักเรียนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ  กลุ่มละ คน  ระดับความสามารถต่างกัน  (Heterogeneous  teams)  คือ  นักเรียนเก่ง  คน  ปานกลาง  คน  และอ่อน  คน  ครูกำหนดบทเรียนและการทำงานของกลุ่มเอาไว้  ครูทำการสอนบทเรียนให้นักเรียนทั้งชั้นแล้วให้กลุ่มทำงานตามที่กำหนด  นักเรียนในกลุ่มช่วยเหลือกัน  เด็กเก่งช่วยและตรวจงานของเพื่อนให้ถูกต้องก่อนนำส่งครู  แล้วจัดกลุ่มใหม่เป็นกลุ่มแข่งขันที่มีความสามารถเท่า ๆ กัน  (Homogeneous  tournament  teams)  มาแข่งขันตอบปัญหาซึ่งจะมีการจัดกลุ่มใหม่ทุกสัปดาห์  โดยพิจารณาจากความสามารถของแต่ละบุคคล  คะแนนของกลุ่มจะได้จากคะแนนของสมาชิกที่เข้าแข่งขันร่วมกับกลุ่มอื่น ๆ ร่วมกัน  แล้วมีการมอบรางวัลให้แก่กลุ่มที่ได้คะแนนสูงถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้



1.2    เทคนิคการแบ่งกลุ่มแบบกลุ่มสัมฤทธิ์  (Student  Teams  Achievement 
Divisions  หรือ  STAD)  คือ  การจัดกลุ่มเหมือน  TGT  แต่ไม่มีการแข่งขัน  โดยให้นักเรียนทุกคนต่างคนต่างทำข้อสอบ  แล้วนำคะแนนพัฒนาการ  (คะแนนที่ดีกว่าเดิมในการสอบครั้งก่อน) ของแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม  และมีการให้รางวัล
1.3    เทคนิคการจัดกลุ่มแบบช่วยรายบุคคล  (Team  Assisted 
Individualization  หรือ  TA)  เทคนิคนี้เหมาะกับวิชาคณิตศาสตร์  ใช้สำหรับระดับประถมปีที่ 3 – 6 วิธีนี้สมาชิกกลุ่มมี  คน  มีระดับความรู้ต่างกัน  ครูเรียกเด็กที่มีความรู้ระดับเดียวกันของแต่ละกลุ่มมาสอนตามความยากง่ายของเนื้อหา  วิธีที่สอนจะแตกต่างกัน  เด็กกลับไปยังกลุ่มของตน  และต่างคนต่างทำงานที่ได้รับมอบหมายแต่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  มีการให้รางวัลกลุ่มที่ทำคะแนนได้ดีกว่าเดิม
1.4    เทคนิคโปรแกรมการร่วมมือในการอ่านและเขียน  (Cooperative 
Integrated  Reading  and  Composition  หรือ  CIRC)  เทคนิคนี้ใช้สำหรับวิชา  อ่าน  เขียน  และทักษะอื่น ๆ ทางภาษา  สมาชิกในกลุ่มมี  คน  มีพื้นความรู้เท่ากัน  คน  อีก  คน  ก็เท่ากัน  แต่ต่างระดับความรู้กับ  คนแรก  ครูจะเรียกคู่ที่มีความรู้ระดับเท่ากันจากกลุ่มทุกกลุ่มมาสอน  ให้กับเข้ากลุ่ม  แล้วเรียกคู่ต่อไปจากทุกกลุ่มมาสอน  คะแนนของกลุ่มพิจารณาจากคะแนนสอบของสมาชิกกลุ่มเป็นรายบุคคล
1.5 เทคนิคการต่อภาพ (Jigsaw)  เทคนิคนี้ใช้สำหรับนักเรียนชั้นประถมปีที่ 3 - 6
สมาชิกในกลุ่มมี  คน  ความรู้ต่างระดับกัน  สมาชิกแต่ละคนไปเรียนร่วมกันกับสมาชิกของกลุ่มอื่น ๆ ในหัวข้อที่ต่างกันออกไป  แล้วทุกคนกลับมากลุ่มของตน  สอนเพื่อนในสิ่งที่ตนไปเรียนร่วมกับสมาชิกของกลุ่มอื่นๆ  มา  การประเมินผลเป็นรายบุคคลแล้วรวมเป็นคะแนนของกลุ่ม
1.6  เทคนิคการต่อภาพ  2  (Jigsaw  II)  เทคนิคนี้สมาชิกในกลุ่ม 4 – 5 คน 
นักเรียนทุกคนสนใจเรียนบทเรียนเดียวกัน  สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มให้ความสนใจในหัวข้อย่อยของบทเรียนต่างกัน  ใครที่สนใจหัวข้อเดียวกันจะไปประชุมกัน  ค้นคว้าและอภิปราย  แล้วกลับมาที่กลุ่มเดิมของตนสอนเพื่อนในเรื่องที่ตนเองไปประชุมกับสมาชิกของกลุ่มอื่นมา  ผลการสอบของแต่ละคนเป็นคะแนนของกลุ่ม  กลุ่มที่ทำคะแนนรวมได้ดีกว่าครั้งก่อน  (คิดคะแนนเหมือน STAD)  จะได้รับรางวัล  ขั้นตอนการเรียนมีดังนี้
1)      ครูแบ่งหัวข้อที่จะเรียนเป็นหัวข้อย่อย ๆ ให้เท่ากับจำนวนสมาชิกของแต่ละ
กลุ่ม
2)      จัดกลุ่มนักเรียนโดยให้มีความสามารถคละกันภายในกลุ่มเป็นกลุ่มบ้าน 
(Home  group)  สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ตนได้รับมอบหมายเท่านั้น โดยใช้เวลาตามที่ครูกำหนด
3)      จากนั้นนักเรียนที่อ่านหัวข้อย่อยเดียวกันมานั่งด้วยกัน เพื่อทำงาน  ซักถาม
และทำกิจกรรม  ซึ่งเรียกว่ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ  (Expert  group)  สมาชิกทุก ๆ คน  ร่วมมือกันอภิปรายหรือทำงานอย่างเท่าเทียมกัน  โดยใช้เวลาตามที่ครูกำหนด
4)      นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ กลับมายังกลุ่มบ้าน  (Home group) 
ของตน  จากนั้นผลัดเปลี่ยนกันอธิบายให้เพื่อนสมาชิกในกลุ่มฟัง  เริ่มจากหัวข้อย่อยที่  1, 2, 3
และ เป็นต้น
5)      ทำการทดสอบหัวข้อย่อย 1 – 4 กับนักเรียนทั้งห้อง  คะแนนของสมาชิก
แต่ละคนในกลุ่มรวมเป็นคะแนนกลุ่ม  กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับการติดประกาศ
1.7  เทคนิคการตรวจสอบเป็นกลุ่ม  (Group  Investigation)  เทคนิคนี้สมาชิก
ในกลุ่มมี 2 – 6 คน  เป็นรูปแบบที่ซับซ้อน  แต่ละกลุ่มเลือกหัวข้อเรื่องที่ต้องการจะศึกษาค้นคว้า  สมาชิกในกลุ่มแบ่งงานกันทั้งกลุ่มมีการวางแผนการดำเนินงานตามแผน  การวิเคราะห์  การสังเคราะห์งานที่ทำ  การนำเสนอผลงานหรือรายงานต่อหน้าชั้น  การให้รางวัลหรือให้คะแนนเป็นกลุ่ม
1.8  เทคนิคการเรียนร่วมกัน  (Learning  Together)  วิธีนี้สมาชิกในกลุ่มมี 4 – 5
คน  ระดับความรู้ความสามารถต่างกัน  ใช้สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 – 6 โดยครูทำการสอนทั้งชั้น เด็กแต่ละกลุ่มทำงานตามที่ครูมอบหมาย  คะแนนของกลุ่มพิจารณาจากผลงานของกลุ่ม
1.9  เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือร่วมกลุ่ม  (Co – op – Co - op)  ซึ่งเทคนิคนี้
ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ  ดังนี้คือ  นักเรียนช่วยกันอภิปรายหัวข้อที่จะศึกษา  แบ่งหัวข้อใหญ่เป็นหัวข้อย่อย  แล้วจัดนักเรียนเข้ากลุ่มตามความสามารถที่แตกต่างกัน  กลุ่มเลือกหัวข้อที่จะศึกษาตามความสนใจของกลุ่ม  กลุ่มแบ่งหัวข้อย่อยออกเป็นหัวข้อเล็ก ๆ เพื่อนักเรียนแต่ละคนในกลุ่มเลือกไปศึกษา  และมีการกำหนดบทบาทและหน้าที่ของแต่ละคนภายในกลุ่ม  แล้วนักเรียนเลือกศึกษาเรื่องที่ตนเลือกและนำเสนอต่อกลุ่ม  กลุ่มรวบรวมหัวข้อต่าง ๆ จากนักเรียนทุกคนภายในกลุ่ม  แล้วรายงานผลงานต่อชั้นและมีการประเมินผลงานของกลุ่ม
เทคนิคทั้ง  9  ดังกล่าวข้างต้นนี้  ส่วนมากจะใช้ตลอดคาบการเรียนหรือตลอด
กิจกรรมการเรียนในแต่ละคาบ  เรียกการเรียนแบบร่วมมือประเภทนี้ว่า  การเรียนแบบร่วมมืออย่างเป็นทางการ  (Formal  cooperative  Learning)  แต่ยังมีเทคนิคอื่น ๆ อีกจำนวนมากที่ไม่จำเป็นต้องใช้ตลอดกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละคาบ  อาจใช้ในขั้นนำ สอดแทรกในขั้นสอนตอนใด  ๆ  ก็ได้  หรือใช้ในขั้นสรุป  หรือขั้นทบทวน  หรือขั้นวัดผล  เรียกการเรียนแบบร่วมมือประเภทนี้ว่า  การเรียนแบบร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการ  (Informal  cooperative  learning)  ดังนี้



2.  การเรียนแบบร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการ  มีดังนี้
คาเกน  (Kagan 1994  อ้างใน  พิมพันธ์  เดชะคุปต์,  2541 : 43))  ได้ออกแบบ
เทคนิคการเรียนแบบร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการไว้ถึง  52  เทคนิค  ในที่นี้จะขอแนะนำเทคนิคของการเรียนแบบร่วมมือแบบไม่เป็นทางการจำนวน  9  เทคนิค  ซึ่งเป็นเทคนิคที่กระทำได้ง่ายจึงสะดวกที่จะนำไปใช้  ดังนี้
2.1  การพูดเป็นคู่  (Rally  Robin)  เป็นเทคนิคเปิดโอกาสให้นักเรียนพูด  ตอบ
แสดงความคิดเห็นเป็นคู่  ๆ โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนใช้เวลาเท่า ๆ กัน  หรือใกล้เคียงกัน  ตัวอย่างเช่น  กลุ่มมีสมาชิก  4  คน  แบ่งเป็น 2  คู่  คู่หนึ่งประกอบด้วยสมาชิกคนที่  1 และคนที่  2  แต่ละคู่จะพูดพร้อมๆ  กันไป  โดย 1 พูด  2  ฟัง  ในเวลาที่กำหนด  จากนั้น  2  พูด  1  ฟัง  ในเวลาที่กำหนดเช่นกัน 
2.2  การเขียนเป็นคู่  (Rally Table)  เป็นเทคนิคคล้ายกับการพูดเป็นคู่  ทุก
ประการต่างกันเพียงการเขียนเป็นคู่  เป็นการร่วมมือเป็นคู่ ๆ  โดยผลัดกันเขียน  หรือวาด  (ใช้อุปกรณ์  กระดาษ  2 แผ่นและปากกา  2  ด้ามต่อกลุ่ม) 
2.3  การพูดรอบวง  (Round  Robin)  เป็นเทคนิคที่สมาชิกของกลุ่มผลัดกันพูด
 ตอบ  เล่า  อธิบาย  โดยไม่ใช้การเขียน  การวาด  และเป็นการพูดที่ผลัดกันทีละคนตามเวลาที่กำหนด  จนครบ  4  คน
2.4  การเขียนรอบวง  (Roundtable)  เป็นเทคนิคที่เหมือนกับการพูดรอบวง
แตกต่างกันที่เน้นการเขียน  การวาด  (ใช้อุปกรณ์  กระดาษ  1  แผ่น  และปากกา 1  ด้ามต่อกลุ่ม)  วิธีการคือ  ผลัดกันเขียนลงในกระดาษที่เตรียมไว้ทีละคนตามเวลาที่กำหนด
เทคนิคนี้อาจดัดแปลงให้สมาชิกทุกคนเขียนคำตอบ  หรือบันทึกผลการคิดพร้อม ๆ กันทั้ง  4  คน  ต่างคนต่างเขียนในเวลาที่กำหนด  (ใช้อุปกรณ์ : กระดาษ 4 แผ่น  และปากกา 4 ด้าม)  เรียกเทคนิคนี้ว่าการเขียนพร้อมกันรอบวง (Simultaneous  Roundtable)
2.5  การแก้ปัญหาด้วยการต่อภาพ  (Jigsaw  Problem  Solving)  เป็นเทคนิคที่
สมาชิกแต่ละคนคิดคำตอบของตนเองไว้จากนั้นกลุ่มนำคำตอบของทุก ๆ  คนมาร่วมกันอภิปราย  เพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุด  ดังภาพ
2.6  คิดเดี่ยว  คิดคู่  ร่วมกันคิด  (Think  Pair  Share) เป็นเทคนิคโดยเริ่มจาก
ปัญหาหรือโจทย์คำถาม  โดยสมาชิกแต่ละคนคิดหาคำตอบด้วยตนเองก่อน  แล้วนำคำตอบไปอภิปรายกับเพื่อนเป็นคู่  จากนั้นจึงนำคำตอบของแต่ละคู่มาอภิปรายพร้อมกัน  4  คน  เมื่อมั่นใจว่าคำตอบของตนถูกต้องหรือดีที่สุด  จึงนำคำตอบเล่าให้เพื่อนฟัง
2.7  อภิปรายเป็นคู่  (Pair  Discussion)  เป็นเทคนิคที่เมื่อครูถามคำถาม  หรือ
กำหนดโจทย์แล้ว  ให้สมาชิกที่นั่งใกล้กันร่วมกันคิด  และอภิปรายเป็นคู่
2.8  อภิปรายเป็นทีม  (Team  Discussion)  เป็นเทคนิคที่เมื่อครูตั้งคำถามแล้ว 
ให้สมาชิกของกลุ่มทุก  ๆ  คน  ร่วมกันคิด  พูด  อภิปรายพร้อมกัน

2.9  ทำเป็นกลุ่ม  ทำเป็นคู่  และทำคนเดียว  (Team - pair - Solo)  เป็น
เทคนิคที่เมื่อครูกำหนดปัญหา  หรือโจทย์  หรืองานให้ทำ  แล้วสมาชิกจะทำงานร่วมกันทั้งกลุ่มจนงานแล้วเสร็จ  จากนั้นจะแบ่งสมาชิกเป็นคู่ให้ทำงานร่วมกันเป็นคู่จนงานสำเร็จแล้วถึงขั้นสุดท้าย  ให้สมาชิกแต่ละคนทำงานคนเดียวจนสำเร็จ

          การเรียนแบบร่วมมือกำลังได้รับความสนใจในหมู่นักการศึกษา  ครู  อาจารย์  ในปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง  การเรียนแบบร่วมมือมีทั้งเทคนิคที่นำมาใช้ได้โดยตรงโดยไม่ต้องปรับและเทคนิคที่ต้องปรับเพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียนและเนื้อหาวิชา  อย่างไรก็ตาม  การเรียนแบบร่วมมือก็นับเป็นวิธีการสอนอย่างหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเองได้เป็นอย่างดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น