วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ

ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ 
วันเพ็ญ  จันเจริญ (2542 : 119) กล่าวถึงประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ มีดังนี้
1.       สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิก  เพราะทุก ๆ คนร่วมมือในการทำงานกลุ่ม 
ทุก ๆ คนมีส่วนร่วมเท่าเทียมกัน
2.       สมาชิกทุกคนมีโอกาสคิด  พูดแสดงออก  แสดงความคิดเห็น  ลงมือกระทำ
อย่างเท่าเทียมกัน
3.       เสริมให้มีความช่วยเหลือกัน  เช่น  เด็กเก่งช่วยเด็กที่เรียนไม่เก่ง  ทำให้เด็กเก่ง
ภาคภูมิใจ  รู้จักสละเวลา  ส่วนเด็กที่ไม่เก่งเกิดความซาบซึ้งในน้ำใจของเพื่อนสมาชิกด้วยกัน
4.       ร่วมกันคิดทุกคน  ทำให้เกิดการระดมความคิด   นำข้อมูลที่ได้มาพิจารณา
ร่วมกัน  เพื่อประเมินคำตอบที่เหมาะสมที่สุด  เป็นการส่งเสริมให้ช่วยกันคิดหาข้อมูลให้มาก  และวิเคราะห์และตัดสินใจเลือก
5.       ส่งเสริมทักษะทางสังคม  เช่น  การอยู่ร่วมกันด้วยมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน 
เข้าใจกันและกัน  อีกทั้งเสริมทักษะการสื่อสาร  ทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม  สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้น

หลักการนำวิธีการสอนแต่ละวิธีไปใช้ในการสอน 
          วิธีสอนทั่วไปเป็นวิธีการปลีกย่อยที่ครูสามารถนำมาใช้ประกอบกิจกรรมการเรียนการสอนได้ทุก  ๆ  ขั้นตอน  ไม่ว่าจะเป็นขั้นนำเข้าสู่บทเรียน  ขั้นสอน  ขั้นสรุป  และขั้นปฏิบัติกิจกรรมส่งเสริมความแม่นยำและการถ่ายโยงการเรียนรู้  เพราะถ้าเปรียบเทียบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ดังการแต่งกายของบุคคล  วิธีสอนก็เปรียบเทียบเครื่องประดับที่ติดอยู่บนชุดต่าง ๆ  สำหรับใช้แต่งกายของคนเรา  โดยรูปแบบของชุดเปรียบได้กับรูปแบบการสอนที่นำมาใช้นั่นเอง  ดังนั้น  การแต่งกายจะดีหรือไม่เพียงใดอยู่ที่การเลือกแต่งกายให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์  โดยมีชุดและเครื่องประดับที่เหมาะสมกลมกลืนกัน  และกิจกรรมการเรียนการสอน  รูปแบบการสอน  และวิธีการสอนก็เช่นเดียวกัน 
วิธีสอนที่ใช้กันโดยแพร่หลาย  ได้แก่  วิธีสอนแบบบรรยาย  ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้กับคนหมู่มาก  มีเวลาในการสอนจำกัดในขณะที่มีเนื้อหาที่ต้องสอนมาก  ผู้เรียนส่วนมากต้องเป็นผู้ใหญ่หรือระดับชั้นมัธยมศึกษาขึ้นไปเพราะต้องใช้ความสนใจในเนื้อหามาก   การบรรยายเป็นวิธีสอนที่ยึดครูเป็นศูนย์กลางสัมฤทธิ์ผลของการเรียนรู้จะเกิดได้ดีเพียงใดอยู่ที่ผู้บรรยายหรือตัวครูเป็นหลัก  เพราะถ้าหากครูมีความสามารถสูงมีวิธีการอื่นๆ  มาแทรก  มีทักษะและเทคนิคการบรรยายได้ดี  ก็จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์ได้มาก  ในขณะที่วิธีสอนแบบอภิปรายเป็นการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นผู้กระทำศึกษาและค้นคว้าแล้วนำมาแสดงออกอย่างสร้างสรรค์  เป็นการหาความรู้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด  และได้ทักษะกระบวนการกลุ่มอีกด้วย  เนื่องจากการอภิปรายมีรูปแบบและเทคนิคหลายวิธีจำเป็นที่ผู้ใช้จะต้องใช้ให้ถูกต้องตามรูปแบบ  วิธีการและวัตถุประสงค์ของการใช้นั้น ๆ  โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่างการอภิปรายกลุ่มย่อยกับการจัดสัมมนานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้ง ๆ  ที่เป็นการอภิปรายเหมือนกัน  ในขณะที่เชื่อกันว่าวิธีการแบบนี้ให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเป็นผู้กระทำจริง  แต่ไม่เหมาะกับผู้เรียนที่ไม่กล้าแสดงออกและมีปัญหาเรื่องการพูดนำเสนองาน  
วิธีสอนแบบทดลองใช้สำหรับการสอนวิชาวิทยาศาสตร์เป็นส่วนใหญ่  โดยมุ่งให้ผู้เรียนนำความรู้ทางด้านทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ออกมาใช้ในการทดลองพิสูจน์หลักการและทฤษฎีต่าง ๆ  โดยผู้เรียนเป็นผู้ทดลองโดยมีครูคอยควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด  ข้อดีของวิธีสอนแบบนี้เป็นการสอนที่มุ่งให้นักเรียนเป็นผู้กระทำจริง  (learning by doing) เครื่องมือในการทำลองมีราคาสูง มีข้อจำกัดเรื่องของสถานที่และวิชาที่ศึกษาพอสมควร  วิธีการสอนที่น่าสนใจอีกวิธีหนึ่งคือ  กาสาธิตเป็นการแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ในการทำงานหรือปฏิบัติงานอย่างชำนาญในด้านใดด้านหนึ่งอย่างถ่องแท้ให้ผู้เรียนเห็นกระบวนการทำ  เข้าใจความคิดรวบยอดและเชื่อถือศรัทธาต่อผู้สอนและบทเรียน  ข้อดีของวิธีการนี้สามารถใช้ในการประกอบการสอนทักษะได้อย่างดี 
วิธีการสอนโดยใช้การจำลองสถานการณ์  การสอนแบบนี้เป็นการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนเตรียมพบสถานการณ์จริงในอนาคต  เป็นการจำลองเหตุการณ์ก่อนออกปฏิบัติงาน  โดยเน้นการพิจารณากระบวนการทั้งหมดของสถานการณ์ว่ามีความถูกต้องเหมาะสมหรือไม่  เพียงใด  โดยถือเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์จริงที่เกิดแน่นอนในอนาคต  ซึ่งวิธีการนี้แตกต่างจากวิธีสอนแบบบทบาทสมมุติตรงที่บทบาทสมมุติมุ่งที่สมมุติให้ผู้เรียนสวมบทบาทของใครคนใดคนหนึ่งเพราะเล่นสมมุติเป็นบุคคล  ดังนั้น  คุณค่าของการแสดงอยู่ที่ความสมจริงกับพฤติกรรมของคนที่ถูกสวม  โดยมุ่งพัฒนาเจตคติ  ค่านิยม  และการแก้ปัญหา  ซึ่งยังไม่ทราบวิธีการที่แน่ชัด 
บทบาทวิธีการสอนแบบโครงงานเป็นการจัดทำวิธีง่าย ๆ  โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์มาให้ผู้เรียนหาความรู้ความจริงในโครงการที่กำหนดขึ้นในระยะเวลาหนึ่ง  เพื่อส่งเสริมการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมโดยผู้เรียนเองในสถานการณ์จริง   โดยผู้เรียนศึกษาและวิจัยอย่างเป็นระบบตามขั้นตอนต่าง ๆ  แล้วจึงนำเสนอผลงาน  ขณะที่การศึกษานอกสถานที่ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่มุ่งให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์ตรงจากการเรียน  ช่วยให้ผู้เรียนสนุกสนานมีชีวิตชีวา  แต่ข้อจำกัดอยู่ที่กระบวนการไปศึกษาต้องเตรียมการอย่างดี  และเตรียมแก้ไขปัญหาอันอาจจะเกิดขึ้นได้ 
วิธีสอนทั่วไป หมายถึง วิธีการที่เป็นแนวในการสอน  เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์  โดยเฉพาะวิธีสอนทั่วไปนั้น  เป็นวิธีสอนขั้นพื้นฐานที่ผู้เริ่มเป็นครูพึงทราบและสามารถประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์  ซึ่งวิธีสอนขั้นพื้นฐานมีหลายวิธี  เช่น  การบรรยาย  การอภิปราย  การทดลอง  การสาธิต  การจำลองสถานการณ์ การสอนแบบโครงการ  ฯลฯ  หลักในการนำวิธีสอนไปใช้นั้น  ต้องนำไปใช้ให้เหมาะสมกับกิจกรรมการเรียนการสอน  ขั้นตอนการสอน  ตลอดจนวัตถุประสงค์  และเนื้อหาสาระในการสอน  ดังนั้น  หากครูมีความรู้พื้นฐานด้านวิธีสอน  แล้วสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับวิธีสอนอื่นๆ  เพื่อจัดการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี (ชาญชัย  ยมดิษฐ์, 2548 : 230)

การผสมผสานวิธีสอนแบบต่าง ๆ 
          ปรีชา  คัมภีรปกรณ์ (2540 : 275)  กล่าวว่า ตามทฤษฎีการสอนนั้นไม่สามารถสรุปได้ว่าวิธีสอนวิธีใดวิธีหนึ่งจะใช้ได้ผลในการถ่ายทอดความรู้  เจตคติ  และทักษะได้ดีที่สุด  การเลือกวิธีสอนนั้นย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายประการด้วยกัน  เช่น  เนื้อหาวิธีที่สอน  วัตถุประสงค์ของบทเรียน  ธรรมชาติของผู้เรียน  และเวลาที่ใช้ในการสอน  ซึ่งนักศึกษาได้ศึกษารายละเอียดมาแล้ว
          การที่จะให้เกิดประสิทธิผลในการสอนให้มากที่สุดนั้น  ผู้สอนจำเป็นจะต้องใช้วิธีผสมผสานวิธีสอนแบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน  เพราะความจำเป็นดังนี้
1)      วัตถุประสงค์ของการสอน  ในการเรียนการสอนบทเรียนหนึ่ง ๆ นั้นมักจะกำหนด
ให้ผู้เรียนเกิดความรู้  เจตคติ  และทักษะซึ่งดังได้กล่าวมาแล้วว่ายังไม่สามารถจะใช้วิธีการสอนอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้เกิดผลดังกล่าวทั้ง  3  ประการได้
2)      ผู้เรียน  เรายอมรับว่าผู้เรียนมีความแตกต่างกัน  ดังนั้นถ้าหากเปิดโอกาสให้ผู้เรียน
ได้รับการสอนแบบต่าง ๆ  ทำให้โอกาสที่ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมก็จะมีมากขึ้น
3)      บรรยากาศของการสอน  ในการสอนบทเรียนหนึ่งในบางครั้งกินเวลามาก  ถ้า
หากผู้สอนใช้วิธีการสอนแบบเดียวจะทำให้ทั้งผู้เรียนและผู้สอนเกิดความเบื่อหน่าย  ขาดความกระตือรือร้น  ผลการเรียนการสอนจะไม่ดีเท่าที่ควร
4)      ผู้สอน  การใช้วิธีการสอนหลายแบบจะทำให้ผู้สอนต้องตื่นตัวและกระฉับกระเฉง 
ไม่เบื่อหน่าย


จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงเห็นว่าในการสอนบทเรียนพึงควรจะประกอบด้วยวิธีสอน
หลาย ๆ แบบ  ส่วนจะใช้แบบใดหรือวิธีใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้สอน  เช่น  อาจจะเริ่มจากการอภิปราย  บรรยาย  ฝึกปฏิบัติ  หรือเริ่มจากการบรรยาย  ฝึกปฏิบัติ  และอภิปรายก็ได้
เหตุผลของการผสมผสานการสอนแบบต่าง ๆ 
ปรีชา  คัมภีรปกรณ์ (2540 : 161-162)  ได้กล่าวไว้ว่า การสอนมีอยู่มากมายหลายแบบ  แบบที่เน้นผู้สอนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอน  เช่น  การบรรยาย  การสาธิต  การใช้คำถาม  เป็นต้น  หรือแบบที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอนซึ่งมีทั้งที่เน้นเป็นกลุ่มหรือที่เป็นรายบุคคล  เช่น การสอนแบบอภิปราย  การสอนแบบสืบสวนสอบสวน  การสอนแบบแก้ปัญหา  การใช้แบบเรียนแบบโปรแกรม  การสอนแบบให้เรียนโดยอิสระ  ฯลฯ
จากวิธีการสอนดังกล่าวจะพบว่าการสอนแบบหนึ่ง ๆ ย่อมมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง  มีการใช้ประโยชน์ได้เฉพาะอย่าง  ดังนั้นในการสอนบทเรียนบทหนึ่ง ๆ ชั่วโมงหนึ่ง ๆ  หรือในหน่วยการเรียนหนึ่ง ๆ จึงเกิดปัญหาว่าจะใช้การสอนแบบใดจึงจะเหมาะสมในบางกรณีบาง        บทเรียนอาจต้องใช้การสอนมากกว่าหนึ่งแบบขึ้นไป  การสอนแบบเดียวอาจไม่สนองต่อวัตถุประสงค์ของบทเรียน  เนื้อหาของบทเรียน  หรือกลุ่มผู้เรียน  เป็นต้น  จึงต้องมีการผสมผสานการสอนหลาย ๆ แบบเข้าด้วยกัน 
ถ้าจะสรุปเหตุผลว่าทำไมจึงต้องมีการผสมผสานการสอนแบบต่าง ๆ  เข้าด้วยกัน  อาจได้เหตุผลดังนี้
1. วัตถุประสงค์ของบทเรียน
                ในการสอนบทเรียนบทหนึ่ง ๆ หรือการสอนครั้งหนึ่ง ๆ  ผู้สอนมักจะมีการกำหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมครอบคลุมในด้านเนื้อหา  เจตคติ  และทักษะ  เพื่อครอบคลุมวัตถุประสงค์ทางการศึกษา  ตามที่บลูมกำหนด  ในแง่ของพุทธิพิสัย  เจตพิสัย  และทักษะพิสัย  นั่นเอง  ซึ่งปรากฏว่าการสอนแบบใดแบบหนึ่งนั้นอาจไม่สามารถสนองวัตถุประสงค์ทั้ง  3  ด้าน  ได้ในเวลาเดียวกัน  ดังนั้นในการสอนครั้งหนึ่งย่อมต้องการการสอนหลาย ๆ  แบบผสมผสานกันไป  เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ครอบคลุมถึงวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้   
2. ผู้เรียน
โดยทั่วไปกลุ่มผู้เรียนในห้องเรียนมีความแตกต่างกันในเรื่องของความถนัด  ความ
สามารถและความสนใจ  การใช้วิธีการสอนเพียงแบบเดียว  ย่อมไม่สนองกับความต้องการของผู้เรียนเหล่านั้น
ถ้าหากผู้สอนใช้วิธีการสอนหลาย ๆ  แบบผสมผสานด้วยกันย่อมเปิดโอกาสให้
ผู้เรียนได้แสดงความสามารถ  ความถนัดของตนได้อย่างเต็มที่  ทำให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในการเรียนของตนยิ่งขึ้น
นอกจากนั้นจะพบว่าความสนใจของกลุ่มผู้เรียนยังไม่คงที่  เป็นต้นว่าตอนต้น  ๆ 
ชั่วโมงผู้เรียนจะมีความกระตือรือร้น  แต่พอถึงกลาง ๆ ชั่วโมงหรือท้ายชั่วโมง  ความกระตือรือร้นของผู้เรียนจะลดลง  ดังนั้นจึงไม่ควรสอนโดยใช้การสอนแบบเดียวตลอดทั้งชั่วโมง
3. บรรยากาศของการเรียนการสอน
การเรียนการสอนในชั่วโมงหนึ่ง ๆ  หรือคาบหนึ่ง ๆ   ถ้าผู้สอนใช้วิธีการสอนเพียง
แบบเดียวโดยไม่เปลี่ยนแปลง  ตั้งแต่ต้นชั่วโมงจนถึงท้ายชั่วโมง  จะทำให้บรรยากาศ  น่าเบื่อหน่าย  ไม่มีความตื่นเต้นน่าสนใจ  โดยเฉพาะถ้าผู้สอนยึดการสอนที่ให้ตนเองเป็นศูนย์กลางด้วยแล้ว  บรรยากาศของการเรียนการสอนจะน่าเบื่อหน่ายมาก  เพราะผู้เรียนไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนเท่าที่ควร
แต่ถ้าผู้สอนจะนำวิธีการสอนแบบต่าง  ๆ  มาผสมผสานเข้าด้วยกัน  มีกิจกรรม
การเรียนการสอนหลาย ๆ แบบอันจะส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมได้  ย่อมทำให้บรรยากาศของการเรียนการสอนน่าสนใจ  ผู้เรียนจะรู้สึกตื่นเต้น  และมีความต้องการที่จะเรียนโดยไม่คิดว่าถูกบังคับ
4. ผู้สอน
โดยปกติผู้สอนมักจะใช้การสอนแบบเดียวในการสอนครั้งหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะจะเลือก
การสอนแบบที่ตนถนัดและคิดว่าจะทำให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาของบทเรียนได้  การเรียนการสอนในลักษณะที่ผู้สอนมีความถนัดเช่นนี้  ย่อมทำให้ผู้เรียนเบื่อหน่าย  เพราะมีความซ้ำซาก  อีกทั้งผูสอนเองก็เบื่อหน่ายเช่นกัน  เพราะจะต้องปฏิบัติกิจกรรมซ้ำ ๆ  ทุกวัน ๆ
แต่ถ้าผู้สอนใช้วิธีการสอนโดยผสมผสานการสอนหลาย ๆ แบบแล้ว  นอกจากทำให้
ผู้เรียนเกิดความสนใจ  ความสนุกสนานในการเรียนแล้ว  ยังจะทำให้การเรียนการสอนในชั่วโมงนั้น ๆ มีความหมายรวมเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศของผู้สอนเองอีกด้วย

เงื่อนไขการเลือกวิธีการสอนแบบต่าง ๆ 
          ปรีชา  คัมภีรปกรณ์ (2540 : 162-163) กล่าวไว้ว่า การสอนแบบหนึ่งย่อมเหมาะสมกับสภาพการณ์หรือวัตถุประสงค์หนึ่ง  ดังนั้นในการพิจารณาว่าบทเรียนนั้น ๆ จะใช้วิธีการสอนแบบใดบ้าง  และจะผสมผสานวิธีการสอนอย่างไร  จึงจะเหมาะสม  ถือว่าเป็นดุลพินิจของผู้สอนเอง
          ในที่นี้ใคร่ขอเสนอเงื่อนไขประกอบการพิจารณาในการเลือกวิธีการสอนให้เหมาะสม  โดยมีข้อพิจารณาดังนี้
          1.  เนื้อหาที่สอน  เนื้อหาที่จะสอนนั้น  ถือว่าเป็นปัจจัยประกอบการพิจารณาที่สำคัญ  เป็นเครื่องคัดว่าจะนำการสอนแบบใดมาสอน  หรือจะผสมผสานการสอนแบบใดเข้าด้วยกันจึงจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มากที่สุด
          ตัวอย่างเช่น  ถ้าเนื้อหาของบทเรียนที่จะสอนเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับทฤษฎี  หรือหลักการต่อวิธีการสอนที่ควรนำมาใช้น่าจะเป็นแบบบรรยาย  ซึ่งถ้าเนื้อหานั้นเป็นประเด็นหรือปัญหาที่ต้องอาศัยการวิเคราะห์  อาจใช้วิธีการสอนแบบอภิปรายเพื่อให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น  เป็นต้น  หรือเนื้อหานั้นแสดงถึงความรู้สึกของบุคคลในเหตุการณ์ที่เป็นจริง  อาจใช้วิธีการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติก็ได้  หรือถ้าบทเรียนที่เป็นการฝึกฝนหรือการปฏิบัติ  อาจใช้การสอนแบบให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติด้วยตนเองจะเป็นวิธีการสอนที่ดีกว่าวิธีอื่น ๆ
2.      วัตถุประสงค์  วัตถุประสงค์ก็เป็นตัวชี้นำให้ผู้สอนเลือกวิธีการสอนที่เหมาะสมเช่น
เดียวกัน  เช่น  วัตถุประสงค์ระบุว่าต้องการให้ผู้เรียนจดจำหลักการทฤษฎีหรือเนื้อหาในเรื่องหนึ่ง ๆ ได้  การสอนที่จะใช้วิธีการบรรยาย  ซึ่งจะบรรลุวัตถุประสงค์นั้น ๆ มากกว่าวิธีอื่น
แต่ถ้าวัตถุประสงค์ระบุว่า  ต้องการให้ผู้เรียนมีเจตคติโดยการแสดงความรู้สึกหรือความ
คิดเห็นต่อเรื่องนั้นๆ  แล้ว  การสอนแบบเกมจำลองสถานการณ์  บทบาทสมมติ  การอภิปราย  ฯลฯ  น่าจะเหมาะสมกว่า
          บางกรณีวัตถุประสงค์ระบุว่าเมื่อผู้เรียนเรียนจนบทเรียนนั้น ๆ  แล้วจะสามารถปฏิบัติหรือมีทักษะในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างถูกต้อง  วิธีการสอนโดยการให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติน่าจะเป็นการสอนที่ดีกว่าการบรรยายหรือการอภิปราย  เป็นต้น
3.      ผู้เรียน
ในการเลือกวิธีการสอนแบบหนึ่ง ๆ หรือการผสมผสานวิธีการสอนแบบต่าง ๆ เข้า
ด้วยกันนั้น  ปัจจัยที่ควรประกอบการพิจารณาอีกอย่างหนึ่งคือผู้เรียน
การพิจารณาเกี่ยวกับผู้เรียนพิจารณาได้หลายแง่ด้วยกัน  คือ
3.1   พื้นฐานความรู้  พิจารณาดูว่ากลุ่มผู้เรียนมีพื้นฐานความรู้เพียงใด  เพื่อจัดวิธี
การสอนที่เหมาะสม  ตัวอย่างเช่น  ผู้เรียนที่มีความรู้ในระดับชั้นประถมปีที่ 3  ย่อมไม่เหมาะถ้าผู้สอนจะใช้วิธีการสอนแบบบทบาทสมมติหรือการสืบสวนสอบสวน  เพราะวิธีการสอนดังกล่าวผู้เรียนต้องมีความรู้เกี่ยวกับข้อมูล  การหาแหล่งข้อมูล  การวิเคราะห์ข้อมูล  เป็นต้น  แต่ถ้าเป็นผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาอาจใช้วิธีการสอนดังกล่าวได้
3.2   ความสนใจและความถนัด  ผู้สอนพิจารณาดูกลุ่มที่มีแนวโน้มที่สนใจเรื่องอะไร 
และมีความหนักใจเรื่องใด  เช่น  ถ้ากลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มที่ถนัดในการพูดและการแสดงความคิดเห็น  วิธีการสอนที่เหมาะสมก็น่าจะเป็นวิธีการสอนแบบอภิปราย  การเล่นเกม  เป็นต้น
3.3   ขนาดของกลุ่ม  เรื่องนี้สำคัญมาก  ตัวอย่างเช่น  ขนาดของกลุ่มมี  50  คนขึ้นไป 
ถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่  วิธีการสอนแบบที่เหมาะสมก็คือการบรรยายหรือการสาธิต  แต่ถ้ากลุ่มประกอบด้วยสมาชิกน้อยกว่านี้ก็อาจใช้วิธีการอภิปราย  เกมการแสดงบทบาทสมมติ  หรือการสอนแบบรายบุคคลก็ได้
3.4   สภาพแวดล้อมทางสังคมของผู้เรียน  สภาพแวดล้อมในที่นี้ได้แก่  สภาพแวดล้อม
ของชุมชนที่ผู้เรียนเป็นสมาชิกอยู่  เช่น  สภาพภูมิศาสตร์  ลักษณะสังคม  วัฒนธรรม  ศาสนา  สภาพทางเศรษฐกิจ  เป็นต้น  สภาพดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่ผู้สอนควรพิจารณาประกอบเพื่อสามารถจัดการสอนให้เป็นที่น่าสนใจแก่ผู้เรียน
3.5   ความแตกต่างระหว่างบุคคล บุคคลย่อมมีความแตกต่างกันทั้งทางด้านร่างกาย 
ความคิด  ความสามารถ  ตลอดจนความสนใจ  การเลือกวิธีการสอนย่อมต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ด้วย  เพื่อให้การสอนบรรลุวัตถุประสงค์ได้ง่ายขึ้น
4.      ระยะเวลา
เวลาเป็นเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งในการกำหนดวิธีการสอน  เช่น  บางบทเรียน
ผู้สอนมีเวลาจำกัด  ถ้าจะใช้วิธีการสอนที่ต้องใช้เวลามากย่อมทำไม่ได้  ต้องเลือกใช้การสอนแบบที่ใช้ระยะเวลาสั้น ๆ เป็นต้น

ตัวอย่างการผสมผสานการสอนแบบต่าง ๆ 
          ปรีชา  คัมภีรปกรณ์ (2540 : 164-166) อ้างใน (ไพฑูรย์ สินลารัตน์, 2522) กล่าวว่า โดยทั่วไปเมื่อจะทำการสอนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  ผู้สอนต้องมีการวางแผนการเรียนการสอนเสียก่อน  โดยเริ่มวางแผนระดับหน่วย  แล้วจึงนำหน่วยการสอนนั้นมาวางแผนในระดับบทเรียนอีกครั้ง  ในการผสมผสานวิธีการสอนจะต้องมีการวางแผนว่าจะใช้วิธีการสอนอะไรบ้าง  ในที่นี้ใคร่ขอเสนอตัวอย่างการวางแผนการผสมผสานวิธีการสอนแบบต่าง ๆ ทั้งในระดับหน่วยการสอนและระดับบทเรียน  ดังนี้
          ตัวอย่างที่ 1  การผสมผสานการสอนแบบต่าง ๆ ในระดับหน่วยการสอน
          ในการวางแผนระดับหน่วยผู้สอนควรจะพิจารณาว่าจะใช้การสอนแบบใดให้ผสมผสานอย่างเหมาะสมที่สุด  รูปแบบของการผสมผสานการสอนแบบต่าง ๆ อาจทำได้  3  ลักษณะด้วยกัน คือ 
1)      ใช้วิธีสอนหลาย ๆ แบบในหน่วยการสอน  แต่ใช้วิธีการสอนแบบเดียวในบทเรียน
บทหนึ่ง ๆ
ถ้าหากหน่วยการสอนนั้นมีการสอน  2 - 3  ครั้ง  แล้วแยกเป็นบทเรียน  2 - 3  บทเรียน 
ในการสอนบทเรียนที่หนึ่งอาจใช้วิธีการบรรยายไปตลอด  ในบทเรียนคราวต่อไปก็ใช้วิธีการสอนแบบอภิปรายหรือฝึกปฏิบัติกิจกรรม  เป็นต้น  ดังแผนภูมิข้างล่างนี้

















แบบที่ 1

หน่วยการสอน
วิธีการสอน
ครั้งที่ 1
บทเรียนที่ 1
การบรรยาย
ครั้งที่ 2
บทเรียนที่ 2
การอภิปรายหมู่
ครั้งที่ 3
บทเรียนที่ 3
การฝึกปฏิบัติ
หรือ แบบที่ 2
หน่วยการสอน
วิธีการสอน
ครั้งที่ 1
บทเรียนที่ 1
การอภิปรายระดมความคิด
ครั้งที่ 2
บทเรียนที่ 2
เกมจำลองสถานการณ์
ครั้งที่ 3
บทเรียนที่ 3
ทัศนศึกษา

2)      ใช้วิธีการสอนแบบผสมแต่เน้นแตกต่างกัน
ถ้าใช้วิธีการสอนผสมผสานในแต่ละครั้ง  ให้เน้นวิธีการสอนที่แตกต่างออกไปในครั้งต่อไป  ดังแผนภูมิต่อไปนี้

หน่วยการสอน
วิธีการสอน
ครั้งที่ 1
บทเรียนที่ 1
เริ่มการสอนแบบบรรยาย  แล้วใช้วิธีสอนแบบรายบุคคลในขั้นปฏิบัติกิจกรรม  สรุปด้วยการใช้คำถาม
ครั้งที่ 2
บทเรียนที่ 2
เริ่มด้วยการอภิปรายระดมความคิด  แล้วใช้การบรรยายในขั้นการดำเนินการสอน  สรุปบทเรียนด้วยการใช้คำถาม
ครั้งที่ 3
บทเรียนที่ 3
เริ่มด้วยการแสดงบทบาทสมมติแล้วใช้การสอนแบบอภิปรายกลุ่มย่อย  ในขั้นการดำเนินการสอน  สรุปบทเรียนด้วยการบรรยาย

ตัวอย่างที่ 2  การผสมผสานการสอนแบบต่าง ๆ ในระดับบทเรียน
          การผสมผสานวิธีการสอนแบบต่าง ๆ ไว้ในบทเรียนหนึ่ง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักใช้เวลาในการเรียน  1  คาบหรือ  2  คาบติดต่อกันนั้น  จะช่วยทำให้การเรียนการสอนในครั้งนั้น ๆ มีความหมายและน่าสนใจอย่างยิ่ง
          ในที่นี้ขอเสนอตัวอย่างการผสมผสานวิธีการสอนแบบต่าง ๆ โดยใช้การสอนแบบบรรยายเป็นหลัก  ซึ่งอาจทำได้ในหลายลักษณะ  ดังนี้ 
1)       ใช้การบรรยายขั้นนำเข้าสู่บทเรียน  ผู้สอนใช้วิธีการสอนแบบบรรยาย  เริ่มต้นบทเรียน
หรือนำเข้าสู่บทเรียน  เพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบเรื่องราวคร่าว ๆ ที่จะเรียนหรือเป็นการให้แนวคิดเบื้องต้นในเรื่องที่จะเรียนนั้น  เมื่อเห็นว่าผู้เรียนเข้าใจแล้ว  ก็เสนอวิธีการสอนแบบอื่น ๆ  เช่น  การสอนแบบอภิปรายหรือการสอนแบบรายบุคคล  ดังแผนภูมิต่อไปนี้
แบบที่ 1
ขั้นการสอน
วิธีการสอน
     ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
     การบรรยาย
     ขั้นปฏิบัติกิจกรรม
     การอภิปราย
     ขั้นสรุปบทเรียน
     การบรรยายสรุป
หรือ
แบบที่ 2
ขั้นการสอน
วิธีการสอน
     ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
     การบรรยาย
     ขั้นปฏิบัติกิจกรรม
     การทำรายงานค้นคว้าด้วยตนเอง
     ขั้นสรุปบทเรียน
     การบรรยายสรุป

2)       ใช้การสอนแบบบรรยายในขั้นการเรียนการสอนหรือปฏิบัติกิจกรรม
ผู้สอนอาจหาวิธีการสอนแบบอื่น ๆ ที่น่าสนใจ  เพื่อเรียกร้องให้ผู้เรียนสนใจ  อยาก
จะเรียนบทเรียนโดยใช้วิธีสอนแบบต่าง ๆ เป็นต้นว่า  การอภิปรายแบบระดมความคิด  การแสดงบทบาทสมมติ  การใช้คำถามในขั้นนำเข้าสู่บทเรียน  เมื่อเห็นว่าผู้เรียนสนใจแล้วจึงดำเนินการสอนต่อไปด้วยวิธีการบรรยาย  เมื่อถึงขั้นสรุปบทเรียนอาจหาการสอนแบบที่น่าสนใจ  เพื่อให้ผู้เรียนเกิดมโนมติในเรื่องที่เรียนไปทั้งหมด  เช่น  การใช้คำถามเพื่อการสรุป  เป็นต้น  ดังแผนภูมิต่อไปนี้





แบบที่ 1

ขั้นการสอน
วิธีการสอน
     ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
การอภิปรายแบบระดมความคิด
     ขั้นปฏิบัติกิจกรรม
การบรรยาย
     ขั้นสรุปบทเรียน
การใช้คำถาม
หรือ
          แบบที่ 2
ขั้นการสอน
วิธีการสอน
     ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
การแสดงบทบาทสมมติ
     ขั้นปฏิบัติกิจกรรม
การบรรยาย
     ขั้นสรุปบทเรียน
การอภิปราย

3)       ใช้การสอนแบบบรรยายในขั้นการสรุปบทเรียน
ในการสอนโดยทั่วไปอาจไม่จำเป็นจะต้องทำการบรรยายก่อน  อาจเริ่มต้นด้วยการสอน
แบบต่าง ๆ ในขั้นนำเข้าสู่บทเรียน  เช่น  ใช้วิธีการสอนแบบการอภิปรายระดมความคิดก่อน  ในขั้นการสอนอาจใช้การอภิปรายแบบอภิปรายหมู่  และเมื่อจะสรุปบทเรียนก็อาจใช้วิธีการสอนแบบบรรยายได้  ดังแผนภูมิต่อไปนี้

แบบที่ 1
ขั้นการสอน
วิธีการสอน
     ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
การอภิปรายแบบระดมความคิด
     ขั้นปฏิบัติกิจกรรม
การอภิปรายหมู่
     ขั้นสรุปบทเรียน
การบรรยาย
หรือ
          แบบที่ 2
ขั้นการสอน
วิธีการสอน
ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน
การชมภาพยนตร์
ขั้นปฏิบัติกิจกรรม
การทำรายงาน
ขั้นสรุปบทเรียน
การบรรยาย

          ตัวอย่างที่นำมาเสนอนี้เป็นแนวทางในการวางแผนการเลือกวิธีการสอนทางหนึ่ง  อย่างไรก็ตามในการวางแผนเพื่อผสมผสานการสอนแบบต่าง ๆ นั้น  ผู้สอนควรมีข้อคำนึงดังนี้

          1.  วัตถุประสงค์และเนื้อหาของการสอนเป็นสำคัญ
          2.  ความพร้อมของผู้เรียน
          3.  สื่อการสอนว่ามีพร้อมหรือไม่
          4.  ระยะเวลาที่ใช้ในการสอน
          5.  สถานที่
          ข้อควรคำนึงเหล่านี้  จะทำให้การวางแผนการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  และมีคุณค่าต่อผู้เรียนอย่างแท้จริง

สรุป 
          ข้อความรู้ที่ให้ข้างต้น  คงจะช่วยให้ผู้สนใจสามารถใช้วิธีสอนต่าง  ๆ ดังกล่าวได้อย่างถูกต้องเหมาะสม  และช่วยให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ของการสอนได้ตามต้องการ  สำหรับผู้สอนที่ปกติอาจจะใช้วิธีการที่ตนถนัดอยู่เพียง 2 - 3 วิธี  ก็คงจะได้เห็นว่ามีวิธีสอนให้เลือกหลากหลายวิธี  ควรจะศึกษาและลองใช้วิธีอื่นๆ  เพิ่มเติมขึ้นเรื่อย ๆ  จะทำให้การสอนน่าสนใจ  และเกิดผลดีมากขึ้น  โดยปกติแล้วการสอนโดยทั่วไปมักใช้วิธีสอนหลาย ๆ วิธีร่วมกัน  เนื่องจากวิธีการใดวิธีการหนึ่ง  มีคุณสมบัติเฉพาะอย่างเท่านั้น  ไม่สามารถสนองวัตถุประสงค์ได้ครอบคลุม  ตัวอย่างเช่น  การบรรยาย  เป็นวิธีที่ช่วยให้ถ่ายทอดเนื้อหาได้เร็ว  แต่ผู้เรียนอาจไม่เกิดความเข้าใจชัดเจน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสิ่งที่ถ่ายทอดเป็นเรื่องของกระบวนการหรือทักษะ  จำเป็นต้องใช้วิธีสอนโดยการสาธิตหรือทดลองเข้าช่วย  หรือถ้าต้องการให้ผู้เรียนได้รับความรู้และความคิดที่หลากหลายในแง่มุมต่าง ๆ ที่กว้างขึ้น  ก็ควรใช้วิธีสอนโดยใช้การอภิปรายกลุ่มย่อยหากต้องการให้ระดับการเรียนรู้นั้นไปถึงขั้นการนำไปใช้วิเคราะห์  และสังเคราะห์  ซึ่งเป็นการเรียนรู้ขั้นสูง  วิธีการต่าง ๆ ที่กล่าวมาอาจไม่เพียงพอ  จำเป็นต้องใช้วิธีอื่น ๆ  เพิ่มเติม  เช่น  การใช้กรณีตัวอย่าง  เป็นต้น  หากผู้สอนต้องการจะให้การเรียนรู้นั้น  เป็นการเรียนรู้ที่ไปปรับเปลี่ยนความรู้สึก  และเจตคติของผู้เรียน  วิธีสอนโดยใช้บทบาทสมมติ  หรือสถานการณ์จำลอง  อาจเข้ามาช่วยได้  ดังนั้นการที่ผู้สอนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีสอน  ยิ่งมากเท่าไรก็จะยิ่งช่วยให้มีทางเลือกมากขึ้นเท่านั้น  หากผู้สอนมีการเลือกและใช้วิธีสอนที่หลากหลาย  นอกจากจะช่วยให้การสอนบรรลุผลได้มากขึ้นแล้ว  ยังช่วยให้ผู้เรียนไม่เกิดความเบื่อหน่ายในการเรียนรู้ที่ต้องจำเจด้วยวิธีการที่จำกัด  การใช้วิธีสอนที่หลากหลายจะชวยให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้อยู่เสมอ 
          อนึ่งเมื่อศึกษาถึงวิธีสอนต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว  คงมีผู้ที่เกิดความสงสัยและสับสนขึ้นมาว่า  วิธีสอนมีความแตกต่างจากรูปแบบการเรียนการสอนอย่างไร  และแม้ผู้นั้นจะได้พยายามศึกษาหาคำตอบจากตำราต่างๆ  แล้วก็ตาม  ก็คงจะไม่พบคำตอบ  เพราะโดยทั่วไปผู้ใดกล่าวถึงวิธีสอนใดก็จะอธิบายสาระของวิธีสอนนั้น  เมื่อผู้ใดกล่าวถึงรูปแบบการเรียนการสอน  ก็จะอธิบายสาระของรูปแบบนั้น ๆ  โดยไม่ได้แยกแยะความแตกต่างของ  2  เรื่องนี้ให้เห็นชัดเจน  จึงทำให้ผู้อ่านหรือผู้ใช้เกิดความสับสน  โดยเฉพาะในหลาย ๆ กรณีที่ทั้งวิธีสอนและรูปแบบการเรียนการสอนใช้ชื่อเดียวกัน  ตัวอย่างเช่น  วิธีสอนโดยใช้บทบาทสมมุติก็มี  รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้บทบาทสมมติก็มี  วิธีสอนโดยใช้การทดลอง  (หรือการแก้ปัญหา)  ก็มี  รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้การทดลองหรือการแก้ปัญหาก็มี  วิธีสอนโดยใช้ศูนย์การเรียนก็มี  รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ศูนย์การเรียนก็มี  กรณีดังกล่าวจึงทำให้เกิดคำถามว่า  เราจะสามารถบอกได้อย่างไรว่า  สิ่งนั้นคือวิธีสอน  สิ่งนี้คือรูปแบบการเรียนการสอน  เสมอ 
จากข้อมูลที่ได้ให้ไว้ในบทนี้  จะเห็นว่า  วิธีสอนแต่ละวิธีจะต้องมีองค์ประกอบและขั้นตอนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของวิธีนั้นอยู่  ซึ่งทำให้วิธีนั้นแตกต่างไปจากวิธีอื่น  แต่ไม่ได้หมายความว่า  การดำเนินการเฉพาะตามขั้นตอนนั้นจะให้ผลสูงสุด  เราจำเป็นต้องอาศัยขั้นตอนเสริม  หรือเทคนิคต่าง ๆ เข้าช่วย  เพื่อช่วยให้ได้ผลสูงสุด  การตัดเติมเสริมต่อ  ดังกล่าวนี้เป็นความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคน  ซึ่งปกติผู้สอนโดยทั่วไปมักจะทำอยู่แล้ว  คือมีการปรับ  ดัดแปลง  ตกแต่งวิธีสอนไป   ต่าง ๆ นานา   เพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะบางประการของผู้สอน  ทำให้กลายเป็นแบบที่แตกต่างกัน  จนกระทั่งบางครั้งผู้สังเกตการสอนแทบจะดูไม่ออกว่า  เป็นวิธีอะไร  การที่ผู้เขียนได้วิเคราะห์จำแนกองค์ประกอบ  และขั้นตอนสำคัญของวิธีสอนแต่ละวิธีไว้ให้  ก็เพื่อช่วยให้ผู้สอนไม่หลงทาง  เกิดความชัดเจนในสิ่งที่ทำและสามารถอธิบายได้  ดังเช่นในกรณีที่กล่าวมา  หากสงสัยว่าการสอนที่สังเกต  (หรือใช้)  เป็นวิธีใด  ก็ควรวิเคราะห์ว่า  การสอนนั้นมีองค์ประกอบหรือขั้นตอนสำคัญของวิธีนั้นครบถ้วนหรือไม่  หากไม่ครบ  แสดงว่าไม่ได้ใช้วิธีสอนนั้นอย่างสมบูรณ์  หากครบก็แสดงว่า เป็นวิธีนั้น  แม้จะมีหน้าตาแตกต่างไปจากแบบของคนอื่น  และควรวิเคราะห์ต่อไปว่า  กระบวนการนั้นมีขั้นตอนเสริมและมีรายละเอียดอื่น  ๆ  เพิ่มเติมเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะอื่นใดเป็นพิเศษอีกหรือไม่  ถ้ามีก็ให้ถามต่อไปว่ากระบวนการดังกล่าวมีลักษณะเป็นแบบแผนให้ผู้อื่นสามารถทำตามได้หรือไม่ และกระบวนการที่เป็นแบบแผนดังกล่าวได้รับการพิสูจน์ทดสอบอย่างเป็นระบบว่ามีประสิทธิภาพ  เชื่อถือได้มาแล้วหรือไม่  ถ้าคำตอบคือใช่  กระบวนการนั้นก็ถือได้ว่าเป็นรูปแบบการเรียนการสอน  ด้วยเหตุนี้  เราจึงพบว่ามีวิธีสอนบางวิธีที่เป็นทั้งวิธีสอนและรูปแบบการเรียนการสอน  เนื่องจากเกิดมีรูปแบบการเรียนการสอนที่แตกออกจากวิธีสอนและในทางกลับกันอาจมีวิธีสอนที่เกิดมาจากรูปแบบการเรียนการสอนก็ได้  รูปแบบการเรียนการสอนนั้น  เป็นแบบแผนในการดำเนินการเรียนการสอนที่จัดขึ้นเพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะ  และได้รับการพิสูจน์ทดสอบแล้วว่าเป็นแบบแผนที่จะนำผู้เรียนไปสู่วัตถุประสงค์นั้นได้ดี  ดังนั้นการใช้รูปแบบการเรียนการสอน  จึงมิใช่จะใช้ในการสอนอะไรก็ได้  จะต้องใช้ตามวัตถุประสงค์ของรูปแบบเท่านั้น  และจะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของรูปแบบที่จัดไว้ให้  หากไปสลับสับเปลี่ยนโดยที่รูปแบบไม่ได้กำหนดไว้  อาจไม่ได้ผลตามที่รูปแบบได้พิสูจน์ทดสอบไว้แล้ว  ซึ่งจะผิดกับวิธีสอนที่มีลักษณะที่กวาง  สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้กว้างกว่า  และสามารถปรับดัดแปลง  เพิ่มเติมได้ตามที่ผู้สอนเห็นว่าสมควร  ตราบเท่าที่ยังคงองค์ประกอบและขั้นตอนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของวิธีนั้นอยู่  หากผู้ใช้มีความเข้าใจในแก่นหรือสาระสำคัญนี้  ก็จะไม่สับสน  แม้จะมีผู้ใช้คำแตกต่างกันไปหลากหลาย  (ตามความพอใจของผู้ใช้)  ก็จะทราบว่า  คำที่เขาใช้อยู่นั้นใช้ในความหมายอะไร  (ทิศนา  แขมมณี, 2550 : 382 - 383)
สรุปได้ว่าวิธีสอนเป็นกระบวนการหรือขั้นตอนในการดำเนินการสอน  วิธีสอนแบบใดแบบหนึ่งก็คือขั้นตอนในการดำเนินการสอนซึ่งมีองค์ประกอบและขั้นตอนสำคัญอันเป็นลักษณะเด่นที่ขาดไม่ได้ของวิธีนั้น  ดังนั้นผู้สอนจึงควรศึกษาให้เข้าใจลักษณะเด่นหรือแก่นสำคัญของวิธีสอนแต่ละวิธี  เพื่อช่วยให้สามารถใช้วิธีแต่ละวิธีได้อย่างเหมาะสมกับจุดมุ่งหมายของวิธีนั้น ๆ นอกจากนั้นวิธีสอนบางวิธียังมีชื่อเป็นได้ทั้งวิธีสอนและรูปแบบการสอน  ผู้สอนจึงจำเป็นต้องเข้าใจองค์ประกอบสำคัญของวิธีสอนและรูปแบบการสอนอย่างชัดเจน  เพื่อจะได้สามารถวิเคราะห์และจำแนกความแตกต่างได้  วิธีสอนมีให้เลือกอย่างหลากหลาย  ครูผู้สอนจึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับบทเรียนและจุดมุ่งหมาย  การใช้วิธีสอนหลากหลายวิธี  นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอนแล้ว  ยังสามารถช่วยให้บทเรียนมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น  และจูงใจผู้เรียนให้สนใจเรียนรู้เพิ่มขึ้นด้วย   (ทิศนา  แขมมณี, 2550 : 383)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น